Nakoi ได้เขียนงานวิจารณ์นิทรรศการนี้ไว้เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เป็นงานเขียนสอบภาคปลายปีพ.ศ. ๒๕๓๒ นำมาบันทึกไว้อ่านเล่น เพื่อให้เห็นบรรยากาศของแวดวงศิลปะเมื่อยี่สิบปีที่แล้วค่ะ
บทความวิจารณ์งานแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓๕
สำหรับแวดวงศิลปะในบ้านเราขณะนี้ มีความเจริญก้าวหน้าขึ้นมาก ประชาชนทั่วไปให้ความสนใจในเรื่องราวของศิลปะมากขึ้น สังเกตได้จากจำนวนห้องจัดแสดงงานศิลปะของเอกชน จำนวนศิลปินหน้าใหม่ที่เกิดขึ้น การจัดการประกวดศิลปกรรมต่างๆ มีมากขึ้นกว่าสมัยก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เยาวชนไทย ได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดศิลปกรรมระหว่างชาติมาหลายครั้ง ก็ยิ่งเพิ่มความสนใจในเรื่องของศิลปะให้กับประชาชนในประเทศเรามากขึ้น
การแสดงศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ ๓๕ นี้ จัดขึ้น ณ หอศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ระหว่างวันที่ ๔ สิงหาคม ถึง ๘ กันยายน ๒๕๓๒ การจัดแสดงศิลปกรรมแห่งชาตินี้ ได้ดำเนินติดต่อกันมาอย่างต่อเนื่องถึง ๓๕ ครั้ง โดยครั้งแรกเริ่มในปี พ.ศ.๒๔๙๒ โดยศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ผู้บุกเบิกวงการศิลปะสมัยใหม่ในประเทศไทยเป็นผู้ริเริ่มขึ้น ในแต่ละครั้งก็มีจำนวนศิลปินที่สนใจส่งงานเข้าร่วมการประกวดเป็นจำนวนมาก สำหรับครั้งนี้ก็เช่นกัน โดยแบ่งแยกประเภทของงานออกเป็นด้านจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มีคณะกรรมการผู้คัดเลือกและตัดสินเป็นผู้ที่มีความรู้เชี่ยวชาญในด้านศิลปะ อาจารย์จากสถาบันที่มีการสอนศิลปะ ศิลปินอิสระผู้มีชื่อเสียง ผลการตัดสินคัดเลือกจากผลงานที่เข้ารอบสุดท้ายจำนวน ๑๕๙ ชิ้น โดยตัดสินแยกเป็นประเภทดังนี้ คือ ผลงานที่ได้รับเกียรตินิยมอันดับ ๑ เหรียญทอง ประเภทภาพพิมพ์ คือ ผลงาน “สัญลักษณ์ในพิธีกรรมหมายเลข ๑๑” โดยนายถาวร โกอุดมวิทย์ ส่วนในประเภทจิตกรรมและประติมากรรม ไม่มีผู้ได้รับรางวัลนี้ ส่วนรางวัลเกียรตินิยมอันดับ ๒ เหรียญเงิน สาขาจิตรกรรม คือ ผลงาน”ภวังค์แห่งอำนาจ” โดยนายชาติชาย ปุยเปีย งานประติมากรรมนั้น ก็มีเพียงรางวัลเกียรตินิยมอันดับ ๒ และ ๓ เช่นเดียวกับงานจิตรกรรม
สถานที่จัดแสดงที่ใช้ คือ หอศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร นั้น เดิมเป็นอาคารวังท่าพระ และอาคารท้องพระโรง ที่มีความสวยงามทางด้านสถาปัตยกรรมอยู่แล้ว เมื่อได้ใช้เป็นที่จัดแสดงงานที่มีคุณค่า น่าสนใจ ก็ยิ่งทำให้น่าสนใจที่จะได้ไปเยี่ยมชมมากขึ้น อาคารที่จัดแสดงทั้ง ๒ ชั้น ถูกบรรจุไปด้วยผลงานศิลปะมากมายของศิลปินหลายท่าน ทั้งศิลปินที่ชนะเลิศการประกวดและศิลปินเชื้อเชิญ รวมทั้งยังมีผลงานของศิลปินผู้ซึ่งมีความสำคัญ และน่าสนใจมากที่สุด ไม่แพ้ผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ก็คือ ภาพฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานเข้าร่วมจัดแสดง มาตั้งแต่การจัดแสดงศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ ๑๔ และได้เข้าร่วมแสดงมาอย่างสม่ำเสมอ ภาพฝีพระหัตถ์ของพระองค์นั้น จะจัดแสดงอยู่ส่วนหน้าสุดของงานในห้องแรก เป็นภาพบุคคลในลักษณะกึ่งนามธรรม ใช้สีสด มีคุณค่าอย่างยิ่ง
สถานที่จัดแสดงนั้นดูจะแคบลงไปถนัดตาเมื่อถูกบรรจุด้วยผลงานศิลปะจำนวนหลายสิบชิ้น โดยไม่ได้มีการจัดแบ่งประเภทของงานให้แยกจากกัน แต่ในแต่ละห้องที่จัดแสดง จะมีผลงานที่ได้รับรางวัลจากการประกวดครั้งนี้จัดแสดงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นผลงานประติมากรรมที่ได้รับรางวัล ที่ตั้งแสดงไว้กลางห้อง ผลงานจิตรกรรมหรือภาพพิมพ์ที่ได้รางวัลเหล่านี้ ผู้จัดสถานที่คงทำเพื่อให้ผู้ชมเกิดความสนใจที่จะชมงานชิ้นอื่นๆควบคู่กันไปด้วย ซึ่งงานเหล่านั้นก็ใช่ว่าจะด้วยคุณค่าและฝีมือ ในแต่ละผลงานที่แสดงจะมีคำบรรยายประกอบแนวความคิดในการทำงาน ชื่อศิลปิน ชื่อผลงาน บอกไว้ ทำให้ผู้ชมสามารถเข้าใจงานนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี รวมทั้งยังมีการแจกเอกสารของงาน ที่มีวีดีโอประกอบคำบรรยาย ให้รายละเอียดเกี่ยวกับผลงานศิลปะที่ได้จัดแสดงไว้ด้วย เป็นการให้ความรู้แก่ผู้เข้าชม ผู้ที่ไม่มีความรู้ทางด้านศิลปะมาก่อน หรือมีน้อยก็สามารถดูงานนี้ได้เข้าใจเป็นอย่างดี ซึ่งจุดนี้ถือว่าเป็นส่วนที่ดีของการเผยแพร่ความรู้ทางด้านศิลปะให้กับประชาชนทั่วไปได้เข้าใจ
สิ่งที่น่าสนใจสูงสุดของงานนี้อีกอย่างก็คือ ผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศเกียรตินิยมอันดับ ๑ เหรียญทอง คือ ผลงานชื่อ “สัญลักษณ์ในพิธีกรรมหมายเลข ๑๑” โดยนายถาวร โกอุดมวิทย์ เป็นผลงานประเภทภาพพิมพ์ จัดแสดงอยู่ในหองชั้นบน โดยส่วนตัวของศิลปินเองแล้ว อาจจะไม่ต้องพูดถึงความสามารถ และรางวัลเกียรติยศต่างๆ ที่ได้รับทั้งจากภายในประเทศและภายนอกประเทศ ซึ่งเป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงความสามารถของตัวศิลปิน จนเป็นที่ยอมรับว่า เป็นศิลปินในอันดับแนวหน้า ในบรรดาศิลปินรุ่นใหม่ของวงการศิลปะในบ้านเรา สำหรับผลงานชิ้นนี้ ศิลปินมีแนวความคิดที่นำเอาสัญลักษณ์ความเชื่อทางพิธีกรรมมาแสดงออกในงานศิลปะ โดยใช้ก้อนหินและแผ่นทองที่ปิดอยู่บนก้อนหิน เป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อ ความเคารพนับถือ และพิธีกรรม โดยที่ผู้ชมสามารถรู้ได้ทันทีเมื่อเห็นแผ่นทอง เพราะเป็นสิ่งที่ใกล้ชิดกับชีวิตของคนไทย และเป็นที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ดังเช่น การที่คนไทยไปไหว้พระพุทธรูปและปิดทองลงบนองค์พระ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพนับถือในสิ่งที่ตนเองเชื่อถือ และก้อนหินก็เปรียบเหมือนตัวแทนของสิ่งที่เคารพที่เป็นความเชื่อนั้น สิ่งนี้เป็นความสามารถของศิลปินในการเลือกใช้วัสดุในการสื่อความหมายได้อย่างดี สามารถเข้าใจได้ง่าย
วัสดุที่ใช้เป็นพื้น คือ กระดาษสา คุณลักษณะของกระดาษนั้น มีความนิ่ม นุ่ม มีเส้นใยเล็กๆ ในเนื้อ ที่บ่งบอกถึงความละเอียดอ่อน บอบบาง ควรแก่การระมัดระวัง รักษา ซึ่งก็เปรียบเสมือนความตั้งใจในการที่จะทำสิ่งที่ดีตามความเชื่อถือ สีที่ใช้ คือ สีดำ เทา ขาว นั้น ก็สามารถบ่งบอกถึงอารมณ์ ความรู้สึกได้เป็นอย่างดี ในความรู้สึกที่นิ่ง สงบ เงียบ สุขุม น่าเกรงขาม และบริสุทธิ์ การใช้สีที่แบ่งพื้นที่เป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งใช้สีเข้ม อีกส่วนใช้สีอ่อน โดยในส่วนของสีอ่อนนั้น จัดวางรูปก้อนหินที่มีสีเข้มเรียงกันลงมา เป็นการถ่ายน้ำหนักของสีเข้มอีกด้าน ทำให้ได้ดุลกันอย่างเหมาะสม
รูปลักษณะของงานนี้เป็นแบบรูปธรรมที่แฝงไว้ด้วยเนื้อหาสาระที่เป็นนามธรรม ถึงแม้นจะมีการจัดองค์ประกอบอย่างง่ายๆ ใช้สีที่เรียบง่าย ใช้วัสดุธรรมดา รวมกับเทคนิคภาพพิมพ์ ก็สามารถทำให้ผู้ดูรู้และเข้าใจในจุดมุ่งหมายของศิลปินที่ต้องการแสดงให้ผู้ชมได้รับรู้
ถ้าดูงานโดยรวมๆ แล้ว จะเห็นว่า ส่วนใหญ่นั้น งานมีรูปแบบที่เป็นนามธรรมเสียมาก มีแนวความคิดในการแสดงออกที่ค่อนข้างจะเครียด ให้อารมณ์ความรู้สึกที่สะเทือนใจผู้ชม แต่ก็มีผลงานบางชิ้นที่แสดงถึงความสนุกสนานในงาน และผลงานของนายประสงค์ ลือเมือง ศิลปินเชื้อเชิญ เป็นผลงานชิ้นที่ดูแล้วสนุกสนาน เป็นสีสด มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของศิลปินแสดงไว้ในงาน คือ การนำเอาสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมพื้นบ้านทางเหนือมาใส่ไว้ในงานของเราเสมอๆ ภาพดูแล้วเหมือนมีการเคลื่อนไหว
ผลงานที่ดูแล้วมีลักษณะเหมือนจริง เช่น งานภาพพิมพ์ที่เป็นรูปปลา ซึ่งเป็นสิ่งที่ศิลปินคุ้นเคยอยู่ และนำมาใช้ในการแสดงออกในงานศิลปะ ซึ่งก็มีมีงานหลายชิ้นที่มีลักษณะการแสดงออกถึงสิ่งที่ตัวศิลปินเองคุ้นเคย ดังเช่น ผลงาน “เสมา ฟ้าแดด” ของบุญหมิ่น คำสะอาด เป็นการนำเอาลักษณะของใบเสมา มาแสดงในงาน ส่วนคำว่า “ฟ้าแดด” นั้น เป็นชื่อเมืองในจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่มีพุทธศาสนาเจริญมากว่า ๑,๐๐๐ ปี และเป็นที่มาของแนวความคิดนี้ เพราะตัวศิลปินเองคุ้นเคยอยู่กับสิ่งนี้ ทำงานเป็นอาจารย์สอนศิลปะอยู่ที่จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งเป็นบ้านเกิดของศิลปินด้วย อยู่ในภูมิภาคเดียวกัน
ผลงานที่นับว่าแปลกไปจากชิ้นอื่นๆ ที่จะกล่าวถึง คือ งานของนายไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ ชื่อ “ๆ บ้า ๆบอ” ฟังชื่อแล้วดูเหมือนไร้สาระ แต่เมื่อได้ชมแล้วจะรู้สึกว่า งานนี้มีความน่าสนใจทีเดียว จัดแสดงในห้องด้านในสุดของชั้นล่าง กั้นประตูทางเข้าให้ยืนชม (นั่งชม) ได้จากภายนอกเท่านั้น เป็นงานประเภทที่เรียกว่า Environmental Art และ Light Art โดยมี Sound Effect ประกอบ ที่ประตูจะมีแผ่นสังกะสีที่แขวนไว้เป็นกลุ่มด้านในสุด มีพัดลมซ่อนอยู่มุมหนึ่งของห้อง (คนดูไม่เห็น) เป่าให้แผ่นสังกะสีปลิวไหวน้อยๆ พร้อมกับมีไฟส่องที่เกิดสีสันและเงา ประกอบกับเสียงเบาๆ เป็นจังหวะๆ ผู้ชมจะเกิดความรู้สึกที่วังเวง แฝงไว้ด้วยความน่ากลัว เหมือนการค้นหาอะไรบางอย่าง แผ่นสังกะสีที่ปลิวไหวเล็กน้อยนั้น จะสะกิดอารมณ์ของผู้ชมอยู่เสมอ และเป็นจุดที่น่าสนใจอย่างหนึ่งของงานนี้
เมื่อเดินชมงานจนทั่วแล้ว ประกอบกับการสังเกตผู้เข้าชมงานนี้หลายวัน จะเห็นได้ว่า การจัดการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติครั้งนี้ ดูจะประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดีทีเดียว มีผู้เข้าชมจำนวนมากเทียบกับงานแสดงศิลปะอื่นๆ ที่ผ่านมา ผู้เข้าชมนั้นมีทั้งนักเรียน นักศึกษา ประชาชนทั่วไป ที่มีความสนใจ และสามารถดูงานได้อย่างเข้าใจมากขึ้นกว่าแต่ก่อน แสดงให้เห็นว่าวงการศิลปะในบ้านเรา ได้กำลังขยายตัวในวงที่กว้างขวางออกไป ไม่จำกัดอยู่ในแวดวงของผู้ที่ศึกษาศิลปะ หรือศิลปินเท่านั้น สำหรับผู้ที่สนใจจะเข้าชม ก็ยังพอมีเวลาเหลืออีกหลายวัน แต่ถ้างานนี้ได้มีการจัดแสดงในที่ที่เป็นแหล่งชุมชน มีสถานที่ที่กว้างขวางกว่านี้ (เช่นที่ ห้องแสดงนิทรรศการเซ็นทรัล ลาดพร้าว) อีกสักครั้ง ก็จะเป็นการดีมาก เพราะจะทำให้มีคนอีกจำนวนมากได้รับรู้ถึงความก้าวหน้า ความเคลื่อนไหวต่างๆ ในวงการศิลปะบ้านเราได้มากกว่าที่เป็นอยู่ และจะทำให้การพัฒนาของศิลปะเป็นไปได้อย่างดียิ่งขึ้นไปอีก